เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ มิ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาคนไปวัดอยากไปฟังธรรม เพราะหลวงตาท่านบอกเลย เห็นไหม

“โลกฟังอยู่ทุกวัน โลกได้ยินอยู่ทุกวัน แต่ธรรมะไม่ค่อยได้ยิน”

เราได้ยินธรรมอยู่ เราได้ยินธรรมทางวิทยุ ธรรมอย่างนั้น สภาวธรรมอย่างนั้น คืออ่านหนังสือให้ฟังไง แต่ถ้าเป็นธรรมจริงๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เสียสละ โลกเราจะอยู่ได้ด้วยการเสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากการเสียสละทาน

การเสียสละ เห็นไหม มันฝืนกับความรู้สึกของตัวเองนะ แต่เวลาเราทุกข์นี่ทุกข์จากข้างนอก มันเป็นสิ่งแวดล้อม มันเป็นทุกข์จากสภาวะสังคม แต่ความทุกข์ในใจเรา สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมจะเดือดร้อน ทุกข์ก็เป็นทุกข์ประจำใจเรานั่นแหละ ถ้าทุกข์ประจำใจเรา ถ้าเราแก้ไขทุกข์ในหัวใจของเรา เห็นไหม การแก้ไขทุกข์ในหัวใจเรามันมีการเสียสละ

การเสียสละคือการเปิดกว้างให้หัวใจได้ถ่ายเท อารมณ์ความรู้สึกที่หมักหมมในหัวใจสำคัญมากเลย สิ่งที่เสียสละ เห็นไหม แต่ถ้าเป็นทิฐิมานะ เป็นความเห็นของโลก เขาว่าผู้นี้เป็นผู้ที่เสียเปรียบ ผู้นี้เป็นผู้ที่โดนเอารัดเอาเปรียบ เขามองด้วยสายตาของเขานะ แต่ผู้ที่เสียสละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเสียสละนะ เวลาเป็นกระต่าย เป็นต่างๆ กระโดดเข้ากองไฟ เสียสละชีวิตเลยนะ

คนที่จะเสียสละชีวิตเราเพื่อชีวิตของคนอื่นได้ หัวใจต้องมีคุณธรรมมากเลย ในหัวใจต้องมีคุณธรรม เห็นไหม แต่คนที่จิตใจหยาบเขามองไม่เห็นคุณธรรมในหัวใจอันนี้ เขาว่าเป็นการเสียเปรียบไง เป็นการโดนเอารัดเอาเปรียบ

การเอารัดเอาเปรียบเป็นเรื่องของกิเลสนะ แต่นี้เป็นเรื่องของคุณธรรม เรื่องในหัวใจ เราเสียสละเพื่อผลประโยชน์ของเราไง เวลาเสียสละแล้วมันมีความสุขในใจ ความสุขจากการเสียสละอย่างนี้ การเสียสละบ่อยครั้งเข้า จนหัวใจมันฝึกฝน หัวใจนี้มันทำโดยความปกติของเขา ความปกติ เสียสละจนเป็นความปกติ เขาทำได้โดยความสบายใจ มีความสุขของเขา แต่คนที่จิตใจหยาบ จิตใจที่ต้องการเอารัดเอาเปรียบ มันเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบ เป็นการต่างๆ

คำว่าเสียเปรียบนะมันเสียเปรียบกิเลส มันเสียเปรียบกิเลสในหัวใจของมัน กิเลสในหัวใจของมันเหยียบย่ำนะ เหยียบย่ำหัวใจของเราเอง แต่เราไม่เข้าใจว่ากิเลสเหยียบย่ำหัวใจของเรานะ เรากลับไปคิดว่าเรานี่เป็นผู้ที่มีปัญญา เราเป็นผู้ที่เอาตัวรอดได้ ความเอาตัวรอดได้ของเขา เห็นไหม เขาจะเอาตัวรอดไม่ได้เลย เพราะอะไร?

สิ่งที่เอาตัวรอดนะ คนจะจิตใจเข้มแข็ง คำว่าเข้มแข็งคือก้าวร้าว ความก้าวร้าว ความเข้มแข็ง ดูสิผู้ที่มีอิทธิพล หัวใจเขาจะก้าวร้าว มีความเข้มแข็งของเขา แต่ความเข้มแข็งอย่างนี้จิตใต้สำนึกมันว้าเหว่นะ จิตใต้สำนึกนี่ไปไหนไม่รอดหรอก แต่ถ้าคนที่มีคุณธรรมในหัวใจ มันไม่มีจิตใต้สำนึกอะไร เพราะจิตใต้สำนึก จิตก่อนสำนึกมันเป็นอันเดียวกัน

มันชำระความสะอาดตั้งแต่ชั้นบนลงไปจนชั้นกลาง จนชั้นล่าง จนเป็นชั้นเดียวกัน คือความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน มันไม่มีจิตใต้สำนึกไง มันไม่มีความเสียวยอกหัวใจ ในหัวใจจะไม่มีการเสียวยอก จะไม่มีอะไรมาบังคับจิตใจดวงนั้น จิตใจดวงนั้นจะมีอิสระของเขาในจิตใจดวงนั้น เห็นไหม

ถ้าจิตดวงนั้นมีการกระทำ นี่การฟังธรรม ฟังธรรมจากใจ ถ้าใจมีการฟังธรรม ผู้สูงกว่า ผู้ที่มีจิตใจเป็นคุณธรรม จะดึงเรา จะชักลากเรา จะชักลากให้เรากระทำ เราจะมีความลังเลสงสัย เราไม่มีความมั่นใจ เราจะทำอะไรด้วยความวิตกกังวล เห็นไหม แต่ทำเถอะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก

“ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

การทำคุณงามความดี ความดีของเรา ดูสิพ่อแม่กับลูก พ่อแม่นี่เสียสละให้ลูก ลูกต้องการสิ่งใดพ่อแม่แสวงหาให้ทั้งนั้นเลย นี่ก็เหมือนกัน พ่อแม่กับลูกเสียสละโดยธรรมชาติ ด้วยความรักของพ่อแม่ ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่ไม่มีโทษ ที่ไม่มีอะไรแอบแฝง ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่านั้นอีก

ความเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม พ่อแม่ก็รักลูก พ่อแม่ก็แสวงหา พ่อแม่ก็เป็นห่วงเป็นใย มันมีความผูกพัน เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์”

ถ้ามีความรัก ความผูกพัน มีความทุกข์ไปหมดแหละ แต่ถ้าเป็นธรรมนะมันเข้าใจ มันมีความเมตตา ความสงสาร มีความเกื้อกูลกัน แต่สัจธรรมมันต้องเป็นไปแบบนั้น สัจธรรมมันจะหมุนเวียนไปตามธรรมชาติของมัน ชีวิตที่เกิดขึ้นมาต้องมีชีวิตอยู่ชั่วคราว แล้วต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา คนเรานี่มรณานุสติ มีความตายอยู่ข้างหน้า

ความตายรอเราอยู่ข้างหน้า การเกิด ทุกคนเกิดมาโดยที่ไม่มีความรู้สึกตัว แต่การตายทุกคนวิตกกังวลไปทั้งนั้นเลย นี่ความตาย เห็นไหม แต่ถ้าจิตมีคุณธรรมนะ ศีลธรรมจริยธรรมทำให้เราเข้ามาในศาสนา

ศีลธรรม จริยธรรม.. คนที่มีศีลธรรม มีจริยธรรม เห็นไหม ประเพณีวัฒนธรรมบังคับ ศีลธรรมถ้าพูดถึงมีความเข้มแข็ง เข้มแข็งกว่ากฎหมายอีก กฎหมายถ้าจับผิดไม่ได้ กฎหมายตามไม่ทัน เขายังรอดพ้นจากมือของกฎหมายไป แต่ศีลธรรมนี่สังคมลงโทษ สังคมเขาไม่เห็นด้วย เพราะศีลธรรมในสังคมนั้น เขาว่าสิ่งนั้นเป็นความบกพร่อง

สิ่งที่เป็นการกระทำนั้นเป็นคุณงามความดี ถ้าเราไปทำสิ่งที่ว่าขัดแย้งกับเขา เขามองเราด้วยสายตาที่แปลกแยก พอมองด้วยสายตาที่แปลกแยก เราอยู่ในสังคมอย่างนั้นเราก็เก้อๆ เขินๆ แต่เวลาหน้าฉากก็ทำว่าเราไม่วิตกกังวล แต่ในจิตใต้สำนึกมันเป็นธรรมดา จิตใต้สำนึกมันมีทั้งนั้นแหละ

นี่ศีลธรรม จริยธรรม ประเพณีวัฒนธรรมที่บังคับให้เราทำคุณงามความดี แต่คุณธรรมในหัวใจของเรามันละเอียดกว่านั้นนะ.. ศีลธรรม จริยธรรม ดูสิคนเราเกิดมา อย่างเช่นอนาถบิณฑิกเศรษฐี นี่เวลาสร้างเชตวัน เห็นไหม เอาเงินนี่ปูหมดเลยนะ เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี แต่ถึงเวลาคราวทุกข์คราวยาก สมบัติที่ฝังดินไว้ น้ำท่วมมันกัดเซาะใส่ฝั่งหายไปหมดเลย คนเราจะมั่งมีศรีสุขมันเป็นวาระ เป็นคราวไง

นี่ก็เหมือนกัน ในการกระทำของเรา สิ่งที่เราจะเสียสละทาน เสียสละทาน สิ่งที่เราหา หามาด้วยหยาดเหงื่อของเรานะ เราเสียสละออกไป เห็นไหม นี่เจตนา การเสียสละตั้งแต่เริ่มต้น มีเจตนา มีความพอใจ มีการกระทำ ปฏิคาหก ขณะให้ ให้แล้ว สิ่งต่างๆ ขณะให้ใช่ไหมเราฝึกฝน ใหม่ๆ มันต้องมีการขัดแย้งเป็นธรรมดา

เพราะการกระทำทุกคน ดูพระปฏิบัติ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ เห็นไหม สิ่งที่สร้างมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาปฏิบัติ ๖ ปียังต้องลองผิดลองถูก ยังต้องไปพิสูจน์หัวใจให้มันเข้มแข็งนะ ยังวิตกกังวล จะเป็นไปได้หรือไม่ได้ นี่มีความคิดตลอดเวลา แล้วของเรา เรามีกิเลสในหัวใจ ทำไมจะไม่คิดขัดแย้ง ไม่คิดโต้แย้งในหัวใจ มันมีเป็นธรรมดา

เริ่มต้นนี่ถ้าเราไม่ได้ฝึก มันจะมีอำนาจเหนือกว่า มันจะฉุดยั้งไม่ให้เรามีการกระทำ แต่ถ้าเราฝึกบ่อยๆ ครั้ง บ่อยๆ ครั้งเข้านะ สิ่งต่างๆ ทำบ่อยครั้ง ทำจนเป็นเรื่องปกติ เรื่องธรรมดา ธรรมดานะ เราไม่มีเราก็ให้ได้ เราให้อารมณ์ ความรู้สึก นี่อนุโมทนาทาน อนุโมทนาไปกับเขา สิ่งใดเรามีขนาดไหน เราหามาได้แค่ไหนก็แค่นั้น ก็แค่นั้น

นี่มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเราแล้วนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ หลวงตาท่านพูดเลยนะ เขาได้ ๕ ได้ ๑๐ มานะ ของดีๆ วิเศษนะ เขาต้องถวายพระก่อน พระเรานี่เขาถวาย พระเราหัวโล้นๆ ยังไปมีเครื่องยนต์กลไกแข่งกับโลกเขา

นี่ไงเขาเสียสละมา เขาเห็นพระเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ เขาเสียสละของเขา ได้ ๕ ได้ ๑๐ มานะ สิ่งใดที่เป็นของดีที่สุดของเขา เขาถวายพระก่อน สิ่งที่ถวายพระก็เป็นของดิบของดีของเขา เขามาถวายพระ แล้วพระไม่มีความรู้สึกเลยหรือ? ไม่มีความคำนึงถึงหัวใจของเขาบ้างเลยหรือ? นี่ยังไปแข่งขันกับเขา ไปแข่งขันการดำรงชีวิตไง

การดำรงชีวิตแบบโลก การดำรงชีวิตแบบธรรม เห็นไหม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“สิ่งต่างๆ การดำรงชีวิตเหมือนกับให้หยอดล้อเกวียนเพื่อให้มันเป็นไปได้”

ในการประพฤติปฏิบัติ เรามีสิ่งที่ดีที่มีประโยชน์มากกว่านี้นะ นี่คุณธรรมในหัวใจถ้ามันเกิดขึ้นมามันมีความสุขของมัน ความสุขนะแค่จิตเป็นสมาธิ

ตอนนี้ เห็นไหม “นิพพานกับนิทาน”

นิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์

นิทานไง นิทานคือความรู้สึก คือความเห็นของเขา นี่สิ่งที่ว่าว่างๆ ว่างๆ เป็นนิพพาน

นิพพานกับนิทานมันคนละเรื่องกันนะ นิพพานคือความสุขจริง นิพพานมันสุขเพราะอะไร? สุขเพราะมันมีการเสียสละ มันมีการกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรมานตน พยายามพิสูจน์อยู่ ๖ ปี พิสูจน์มานี่อันนั้นคืออะไร? อันนั้นคือการลงทุนลงแรงนะ เป็นข้อเท็จจริงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ปฏิบัติมา

เราฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานี่เป็นนิทาน แล้วก็คาดหมายกันไป ถ้านิพพานแบบนิทานของเรา มันก็เป็นการสร้างภาพ เป็นการสร้างเรื่อง สร้างให้เป็นแต่มันไม่เป็นหรอก มันไม่เป็นความจริงได้อย่างนั้นหรอก สิ่งที่ไม่เป็นความจริงอย่างนั้นเพราะอะไร? เพราะเราไม่ได้ฝึกฝน เพราะอินทรีย์ของเรา พละคือหัวใจของเรามันอ่อนแอ อ่อนแอแล้วไปเชื่อ

นี่ไงเวลาพระพูด เวลาพระเทศนาว่าการเชื่อไปหมดเลย แล้วเทวทัต อชาตศัตรูนี่ฆ่าพ่อเลย ขนาดอชาตศัตรูบอกเลยบอกว่า

“เป็นลูก เมื่อไหร่มันก็ได้สมบัติอยู่แล้ว”

“อ้าว.. แล้วถ้าลูกตายก่อนล่ะ?”

ดูสิ ดูเทวทัตยังมีเหตุผลโต้แย้งได้ แล้วเราก็ยังเชื่อเข้าไปได้ เห็นไหม นี่เทวทัตพูดนะ แล้วถ้าพระพูดๆ พระพูดอย่างไร? พระพูด.. การเสียสละของเรา เสียสละแล้วสิ้น เสียสละจากมือเราไปคือจบสิ้นกระบวนการ การเสียสละอย่างนี้แล้ว เสียสละเพื่ออะไร? เพื่อหัวใจของเราไง ได้ฝึกฝนใจของเราไง ดูสิเขาออกกำลังกายกัน วิ่งตอนเช้ากันนี่เขาได้อะไรขึ้นมา เขาได้กำลังกายของเขา ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นมา ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

หัวใจของเรา เราเสียสละของเราเพื่อให้มันเข้มแข็งขึ้นมา เห็นไหม ในปัจจุบันนี้ นี่สมัยเมื่อก่อนเรายังเป็นเด็กๆ อยู่ ดูสิความเข้มแข็งของศีลธรรมจริยธรรมนะ ในสังคมของเรา ในชาวพุทธเขาเสียสละทานกัน ถึงวันพระวันเจ้าก็ไปวัดไปวากันนะ เดี๋ยวนี้วันพระวันเจ้าไม่รู้จัก ไม่ทำอะไรทั้งสิ้นเลย เป็นคนรุ่นใหม่ไม่นับถือศาสนาใดทั้งสิ้น ศาสนาเป็นของครึของล้าสมัย ตัวเราเองเป็นผู้ที่ทันสมัย ทันกิเลสไง ให้กิเลสมันเหยียบย่ำไง

ของที่มีคุณประโยชน์ ของที่มีคุณงามความดี เห็นไหม คุณงามความดีคือปรารถนาดี ความดี ความห่วงหาอาทรต่อกัน นี้เป็นความดีของเรื่องหัวใจ มันเป็นค่าของน้ำใจไง ค่าของน้ำใจมันเกิดขึ้นมา นี่ดูสิเด็กของเรามีการศึกษาขึ้นมา เด็กของเราเป็นคนฉลาด เราว่าเด็กของเราดี แต่เด็กของเราฉลาดด้วย แล้วมีคุณงามความดี นี่ค่าน้ำใจ

ค่าน้ำใจคือเอื้ออาทรต่อกัน มีความเสียสละต่อกัน มีความเมตตาต่อกัน นี่เป็นค่าน้ำใจนะ ค่าน้ำใจมันฝึกยาก มันสร้างได้ยากกว่าวัตถุ วัตถุนี้มันสร้างได้ง่ายๆ ทั้งนั้นแหละ การว่าเสียสละทานๆ อาศัยวัตถุไปก่อน เพราะค่าน้ำใจของเรามันไม่มี ค่าน้ำใจของเรา เราไม่เห็นคุณค่าของมัน เห็นไหม

ดูชาวตะวันตกเขามาเที่ยววัฒนธรรมสิ เขามาแสวงหา เขามาเที่ยวศีลธรรมจริยธรรมของเรา เขาเห็นคุณค่านะ เขาเห็นคุณค่าเพราะอะไร? เพราะนี่สิ่งที่เป็นความเอื้ออาทร ความเกื้อกูลกันในหัวใจ ในสังคมที่ความเมตตากรุณาต่อกัน มันทำให้ชีวิตของเราไม่หวาดระแวง ดูสิเวลาเด็กๆ มันพูด เห็นไหม นี่สังคมลงโทษเรา นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี สังคมลงโทษเรา ประชดสังคม ทำร้ายก้าวร้าว ทำลายแต่คนอื่นเพื่อประชดสังคม

นี่ก็เหมือนกัน แต่สังคมนี่เพราะอะไร? เพราะถ้าใจเรามีคุณค่า ใจเรามีการกระทำขึ้นมา สังคมนี่ ศีลธรรมจริยธรรมตกผลึกมาจากปู่ ย่า ตา ยาย ของเราที่แสวงหามา ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นตัวอย่าง แล้วเราทำ นี่ทำดีต้องได้ดี การเสียสละเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ พอเสียสละออกไปแล้วมันไม่แก่งแย่งกัน

การหมายปอง การต้องการแสวงหา การแย่งชิงกัน มันจะทำให้สังคมเกิดการกระทบกระเทือนกันไปแน่นอน แต่ถ้ามีการเสียสละ แล้วใครจะเสียสละได้มากได้น้อยล่ะ? นี่มันก็อย่างที่ว่านั่นแหละ สังคมของโลก เห็นไหม พูดอย่างหนึ่ง คิดอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่ง เพราะอะไร? เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจไง ใส่แต่หน้ากากเข้าหากัน

นี่หน้ากากของเรานะ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต เราคบเพื่อนดี ดูสังคม ดูคนๆ นั้นให้ดูหมู่เพื่อนเขา เขาคบเพื่อนอย่างไร นิสัยเขาจะเป็นอย่างนั้น เพราะเขาชอบอย่างนั้น

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราคบจากข้างนอก เราต้องคบจากข้างใน ความคิดของเรา ถ้ามันคิดแต่เห็นแก่ตัว คิดแต่เบียดเบียนคนอื่น เห็นไหม นี่เราคบเพื่อนที่เป็นคนพาลแล้ว ถ้าเราคบเพื่อนที่เป็นคุณธรรม คบเพื่อนที่มีการเสียสละ คบต่างๆ คบกันเสียสละ เสียสละแล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เสียสละขึ้นมานี่หัวใจมันสะอาด หัวใจมันผ่องแผ้ว

ดูสิเวลาคนเราสกปรกโสโครก เขาทำความสะอาดขึ้นมา เขายังมีความสะอาดขึ้นมาในตัวของเขา นี่หัวใจของเรามันสกปรกด้วยอวิชชา มันสกปรกด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว มันสกปรกด้วยการยึดมั่นถือมั่น นี่เราเสียสละออกไปก็เพื่อฝึกฝนมัน ทำความสะอาดของมันขึ้นมา

สิ่งที่เสียสละไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมา ก็ได้หัวใจที่เข้มแข็งขึ้นมา หัวใจที่เข้มแข็ง หัวใจที่เห็นคุณธรรม หัวใจที่มันมีมาตรฐานขึ้นมา มันจะมีคุณค่าขึ้นมา พอมีคุณค่าขึ้นมามันจะศึกษาแสวงหาธรรมะ

ธรรมะ เห็นไหม ดูเวลาครูบาอาจารย์เทศนาว่าการ ถ้าคนที่ใจเป็นธรรมนะ เวลาพูดขึ้นมานี่เป็นสัจธรรม มันสะเทือนหัวใจนะ น้ำหูน้ำตาไหล นี่อย่างนี้มันสะเทือนขั้วหัวใจ สะเทือนขั้วหัวใจมันก็สะเทือนกิเลส คือว่ากิเลสมันอยู่ที่ขั้วหัวใจ กิเลสมันอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรานั่นล่ะ กิเลสไม่ได้อยู่ที่ผิวๆ นี่นะ

ผิวๆ นี้เป็นความคิด เป็นสิ่งที่เป็นการศึกษา คนที่มีปัญญามาก การศึกษามาก แต่คนที่เป็นคนดีล่ะ? คนดีมันมาจากขั้วหัวใจนี้ไง ถ้าคนดีมันมาจากขั้วหัวใจ นี่ปัญญาที่ได้ศึกษามามันจะเป็นประโยชน์มากเลย เพราะปัญญานี้มันช่วยเหลือเกื้อกูลโลกได้มาก เกื้อกูลโลกด้วยหัวใจที่เป็นธรรมไง แต่ถ้าคนนั้นเป็นคนชั่ว มีปัญญามาก มันทำลายมหาศาลเลย

สัตว์ เห็นไหม ดูหัวหน้าสัตว์ ฝูงสัตว์เวลามันจะเห็นผู้นำกัน มันต้องต่อสู้ด้วยกำลังของมัน สัตว์มันจะทำลายกันด้วยเขี้ยวด้วยเล็บของมันเท่านั้นแหละ แต่มนุษย์ทำลายด้วยปัญญานะ ทำลายด้วยอุบายวิธีการนะ มันหลอกลวงเขาหมดเลยนะ แต่ถ้าหัวใจมีคุณธรรมขึ้นมา เห็นไหม ศีลธรรมจริยธรรมมีคุณค่าอย่างนี้

ถ้าเราทำของเรา เราไม่หลอกลวงใคร ไม่หลอกลวงแม้แต่ตัวเอง ไม่หลอกลวงเรา ไม่หลอกลวงเพราะอะไร? เพราะเราต้องตายข้างหน้านะ เรามีสมบัติอะไรติดมือของเราไป ตัวเราเองเราก็ไม่หลอกลวง นี้เราหลอกลวงตัวเองไง ว่าไม่มีวันตาย จะอยู่ค้ำฟ้า เราจะไปทำความดีเอาชาติหน้า จะไปอยู่กับพระศรีอริยเมตไตรย คิดไปเรื่อยเลยเพราะกิเลสมันบังตา

นี่มันหลอกลวงตัวเอง ถ้ามันหลอกลวงตัวเองให้ตั้งสติตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตั้งสติสัมปชัญญะเดี๋ยวนี้ ทำบุญกุศลของเรา แล้วหมั่นหาคุณสมบัติของเรา สมบัติของเรานะ ธรรมะในหัวใจนี้เป็นสมบัติ สิ่งที่แสวงหามันเป็นสมบัติสาธารณะ คนเกิดมา เห็นไหม ดูสิสัตว์อยู่ในป่าในเขานะ มันก็หาอยู่หากินของมันตามธรรมชาติของมัน

นี่ดูสิเวลาสัตว์ป่ามันไม่มีอาหาร มันรุกล้ำเข้ามาในไร่ในสวนของชาวบ้าน มันมากัดกินพืชในสวนในไร่ของเขา เพราะในป่ามันโดนทำลายมากขึ้นไป สัตว์มันต้องมีอาหารของมัน เราเป็นมนุษย์ เห็นไหม เรามีสมอง เรามีอำนาจวาสนา เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เราก็หาอยู่หากินของเรานะ ถ้าไม่มีศีลธรรมจริยธรรมก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ

นี่การดำรงชีวิตของคนกับสัตว์มันต่างกันตรงไหน? มันต่างกันถ้ามีศีลธรรม! ศีลธรรม เห็นไหม เพราะมนุษย์มันมีศีลธรรมครอบงำหัวใจ ไม่ให้ปฏิบัติเหมือนสัตว์เดรัจฉาน แล้วเราทำขึ้นมา มันมีศีลธรรมจริยธรรมขึ้นมา แล้วคุณสมบัติของเรา สมบัติที่ควรกระทำ ถ้าตั้งสติขึ้นมานะมันมีคุณค่ามาก

ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทรัพย์ อริยทรัพย์.. ทรัพย์ทางโลกนี่ทรัพย์สมบัติของเรา กับอริยทรัพย์ ทรัพย์สมบัติของเราเราหามา ถ้าเราเป็นเจ้านายมัน เราใช้มัน เราดูแลรักษามัน เราไม่เป็นขี้ข้ามันนะ เราจะไม่วิตกทุกข์ร้อนมาก ดูสิเวลาคนตระหนี่ถี่เหนียว สมบัติของเขา เขาเป็นทุกข์เป็นร้อนในการดูแลรักษานะ

ในพระไตรปิฎกมีมากมายเลย คนตระหนี่ถี่เหนียวแล้วพระพุทธเจ้าไปโปรด แล้วคนที่เป็นเศรษฐีเสียสละทาน เป็นคหบดีเสียสละทานก็เยอะแยะไปหมดเลย เห็นไหม สมบัติเป็นสมบัติ เจ้าของมันจะใช้อย่างไร ใช้เป็นหรือไม่เป็น ควรใช้อย่างไร แล้วถ้าใช้เป็นขึ้นมา มันจะสร้างอริยทรัพย์จากภายในขึ้นมา ถ้าใช้ไม่เป็นมันสร้างแต่โทษ สร้างแต่เวรกรรมขึ้นมาในหัวใจที่ใช้ทรัพย์สมบัตินั้น

นี่ถ้าใจมันดี ใช้สมบัติที่ดีขึ้นมา เราฝึกฝนตรงนี้ เสียสละขึ้นมาเพื่อฝึกฝนมัน ใครจะว่าเราเสียเปรียบ เราจะเป็นคนทุกข์คนจน เราจะเป็นคนที่ไม่มีทางออก นั่นเขาว่า แต่ความจริงล่ะ? คนที่เขาว่าๆ นั่นล่ะ เวลามันคอตก เวลามันทุกข์ขึ้นมามันไม่มีทางออกนะ เรานี่มีทางออก ศาสนานี้เป็นศาสนาที่พึ่ง เวลาในสังคม ศาสนานี่มีปัญหากัน ถ้าเข้ามาบวชมาเรียนแล้วเขาให้อภัยกันหมดแหละ

นี่ศาสนาเป็นที่พึ่ง คนที่ดี คนที่หาทางออกแล้วเป็นที่พึ่ง ศาสนาเป็นที่พักอาศัย ตัวศาสนานะ แล้วศาสนาธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันสถิตในใจของเราล่ะ? ถ้ามันเข้ามาในใจของเรามันจะเป็นนิพพานจริงๆ นะ ไม่ใช่นิทานที่เราฟังมา ศึกษามา อันนั้นมันนิทาน

นิพพานต้องให้เป็นความจริง ให้เป็นความสุข ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จะเห็นคุณค่าของศาสนามาก แล้วมีจุดยืนที่มั่นคงมาก แต่ถ้าเป็นนิทานมันเป็นข่าวเล่า ข่าวลือ เป็นคำบอกเล่านะ นี่เขาว่าก็ว่าตามเขา เวลาเขาเลิกว่า ดูสิดูกระแส เห็นไหม ดูกระแสสังคมที่เขาเล่น พวกสังคมที่ตลาดต้องการมีราคามากเลย พอเขาเลิกนะมันเศษของทิ้งเลย

นี้กระแสก็เหมือนกัน นี่ถ้ามันเป็นนิทานในหัวใจมันเป็นกระแส เวลาสังคมเขาไม่เห็นคุณค่า มันจะไม่มีราคาในตัวมันเลย แต่ถ้าเป็นความจริงนะ กระแสก็คือกระแส ตัวเราคือตัวเรา เป็นความจริงของเรา เห็นไหม นี่ชาวพุทธ พุทธศาสนาเป็นที่พึ่งที่อาศัย เราต้องเอาเข้ามาอาศัยในใจเราให้ได้ เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง